ละครโทรทัศน์เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก ประเทศตะวันตกมักจะจัดรายการเหล่านี้ไว้ในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งเป็นเวลาที่แม่บ้านพอจะมีเวลาว่างจากภารกิจบ้าง
แฟนละครหลายคนติดละครราวกับผ้าที่ติดน้ำย้อม ยอมลืมโลก ชั่วคราว สาวจินตนาการไปในห้วงแห่งความฝัน...
อาจารย์นายแพทย์เดวิด คาซาเร็ตต์และคณะ จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกาได้ทำการศึกษาละครโทรทัศน์สหรัฐฯ ในช่วงเวลา 9 ปีเศษ(1 มกราคม 2538 – 15 พฤษภาคม 2548)
ท่านนำข้อมูลเหล่านี้มาเปรียบเทียบเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลทางการแพทย์
อาจารย์ท่านพบว่า ละครโทรทัศน์สหรัฐฯ (คงจะคล้ายเมืองอื่นๆ ทั่วโลก)ให้ข้อมูลเท็จในด้านการฟื้นตัวจากภาวะโคม่า(ไม่รู้สึกตัว)
คนไข้ในละครมีอัตราตาย 8 % ขณะที่คนไข้จริงมีอัตราตายประมาณ 50 % หรือครึ่งหนึ่ง
คนไข้ละครโทรทัศน์ที่ฟื้นตัวจากภาวะโคม่าที่ไม่ใช่อุบัติเหตุมีอาการตกค้าง(เดี้ยง / residue) เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต ความจำเสื่อม ลมชัก พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง อารมณ์เปลี่ยนแปลง แน่นิ่งไม่รู้ตัวและขยับเขยื้อนไม่ได้คล้ายพืชผัก (vegetative state) ฯลฯ 1 %...
คนไข้จริงมีการฟื้นตัวจากโคม่าจะมีอาการตกค้าง 91 % (p < 0.0001 หรือสถิตินี้มีโอกาสผิดพลาด 1 ใน 10,000)
คนไข้ละครโทรทัศน์ที่ฟื้นตัวจากภาวะโคม่าจากอุบัติเหตุมีอาการตกค้าง(เดี้ยง) 7 % เทียบกับคนไข้จริง 89 % (p < 0.0001 หรือสถิตินี้มีโอกาสผิดพลาด1 ใน 10,000)
คนไข้ละครโทรทัศน์ 89 % ฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีภาวะตกค้าง การนำเสนอเช่นนี้มีส่วนทำให้ผู้ชมเข้าใจผิดคิดว่า คนไข้จริงจะฟื้นตัวได้ดีเกินจริง
คนไข้จริงจะรอดชีวิตจากโคม่าได้ประมาณครึ่งหนึ่ง คนไข้จริงฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์น้อยกว่า 10 %
คำแนะนำทั่วไปสำหรับโทรทัศน์ได้แก่ ไม่ควรเปิดละครที่มีเสียงน่ากลัวให้เด็กเล็กได้ยิน เช่น เสียงนักการเมือง ข่าว 3 จังหวัดภาคใต้ เสียงนินทาว่าร้าย เสียงทะเลาะวิวาท เสียงระเบิด ฯลฯ
อย่าลืมว่า ทารกและเด็กเล็กมีแนวโน้มจะแยกแยะละครจากชีวิตจริงไม่ได้ ความจริง...ผู้ใหญ่หลายๆ ท่านก็แยกละครออกจากชีวิตจริงไม่ได้
ข่าวสารและบทความดีๆจาก : www.gotoknow.org
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น